4 มกราคม 2560
โดย โนออร์ ฮานิส ฮารุน
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติมาเลเซีย (Agensi Inovasi Malaysia: AIM) ได้จัดโครงการเสริมสร้างศักยภาพให้กับทีมนวัตกรรมสังคมของตน เพื่อเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ตั้งแต่วันที่ 5 ถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2559 โดยวัตถุประสงค์โดยรวมของโครงการเสริมสร้างศักยภาพนี้ คือเพื่อให้ประเทศมาเลเซีย
1.กระตุ้นให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนได้สำเร็จ
2.ริเริ่มรูปแบบการจัดหาเงินทุนทางสังคมที่แข็งแกร่ง
3.บำรุงและรักษาองค์กรที่เน้นผลประโยชน์ต่อสังคม (social purpose organisations: SPOs) ผ่านทางการกำกับดูแลเชิงกลยุทธ์ของความก้าวหน้าทางสังคม
4.ขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อพัฒนาและเพิ่มอุปสงค์และอุปทานของภาคสังคม
โดยเป้าหมายเหล่านี้สามารถทำให้สำเร็จได้โดยปฏิบัติตามโมเดลที่ประสบความสำเร็จในประเทศ สิงคโปร์ จากคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ และจากการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ
(Photo description:
ชาซาน่าและคิมเบอลีย์ (Shazana and Kimberly) ซึ่งเป็นสมาชิกในทีมของเรากำลังดูกล่องอักษรเบรลล์ B5(Braille Box B5) ซึ่งเป็นต้นแบบเครื่องพิมพ์สำหรับผู้พิการ (PWD) ระหว่างการเยี่ยมชมนิทรรศการ Access Ability Design for Dignity จัดโดยสถานทูตสวีเดนและสถาบันสวีเดนในประเทศสิงคโปร์ นิทรรศการนี้จัดขึ้นที่ศูนย์การออกแบบแห่งชาติสิงคโปร์)
เราได้เข้าเยี่ยมชมองค์กรที่โดดเด่นที่สุดในสิงคโปร์จำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมถึงมหาวิทยาลัยการจัดการสิงคโปร์ (Singapore Management University) ศูนย์การออกแบบแห่งชาติ, Garena, DBS Asia X และ Enabling Village และสถานที่อื่น ๆ อีกมากมาย โครงการเสริมสร้างศักยภาพ 5 วันนี้ เต็มไปด้วยการพบปะกับกลุ่มผู้ได้ประโยชน์ที่เกี่ยวข้องซึ่งมีส่วนร่วมในนวัตกรรมทางสังคม และการจัดหาเงินทุนทางสังคมในสิงคโปร์ด้วยการสนับสนุนจากเครือข่ายนักลงทุนเพื่อสังคมแห่งเอเชีย(AVPN)
กลุ่มของเราได้มีโอกาสในการอธิบายเกี่ยวกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติมาเลเซีย (AIM) และสิ่งที่พวกเราได้ริเริ่มในประเทศของเราเพื่อสนับสนุนนวัตกรรมทางสังคมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวาระด้านการสร้างความเปลี่ยนแปลงของมาเลเซีย ทุกครั้งที่ฉันอธิบายถึงสิ่งที่เรากำลังทำกัน จิตใจของฉันก็แล่นไปกับความหมายอันกว้างของนวัตกรรมทางสังคม จากการได้ร่วมแสดงความเห็นในการประชุมกัน สิ่งที่เรามีเหมือนกันสิ่งหนึ่งคือ แต่ละภาคส่วน (ภาครัฐ, ภาคเอกชนและภาคสังคม) มักจะทำงานกันเฉพาะในองค์กรของตน ทำให้เป็นไปได้ยากที่จะก่อให้เกิด ความร่วมมือกัน อีกทั้งไม่มีการแบ่งปันวิธีปฎิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) จึงเป็นการขัดขวางการเกิดนวัตกรรมสังคม
Photo description:
ทีมของเราและโจนาธาน แทน (Jonathan Tan) หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และการวิจัย (คนที่สองจากทางขวา) ในระหว่างการประชุมกับ RaiSE)
(
Photo description:
คณะได้พบปะกันดูรีน ชาฮ์แนซ (Dureen Shahnaz)(คนที่สี่จากทางซ้าย) และ นาธาชา การ์ชา(Natasha Garcha) (คนที่สองจากทางขวา)ในระหว่างการเยือนงาน Impact Invesment Exchage(IIX) และสำนักงาน ชูจ็อก (Shujog)
ในประเทศสิงคโปร์ งานของนวัตกรรมทางสังคมและกิจการเพื่อสังคมนั้นดูเหมือนว่าจะเน้นไปที่ปัญหาเฉพาะเรื่องในแต่ละปี ตั้งแต่ผู้สูงอายุ, การมีส่วนร่วมของผู้พิการ และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต ด้วยความร่วมมือกันอย่างดีของไตรภาค มันน่าตื่นเต้นมากที่ได้เห็นการเติบโตของนวัตกรรมทางสังคมในด้านเหล่านี้ การแก้ปัญหานั้นได้รับการสนับสนุนโดยเงินบริจาคหรือเงินอุดหนุน และความพร้อมของเงินอุดหนุนช่วยเพิ่มขีดความสามารถแก่ผู้ที่มีส่วนได้เสียที่จะแสดงฝีมือและนำเสนอวิธีที่สร้างสรรค์ และมีนวัตกรรมมากในการแก้ปัญหาสังคมได้อย่างประสบความสำเร็จ แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า ในบางกรณีนั้น การที่รัฐบาลมีบทบาทในการกำกับว่านวัตกรรมสังคมควรเกิดขึ้นในแง่มุมใด ผ่านทางนโยบายและการให้ทุน สามารถส่งผลให้เกิดการขาดแคลนกลุ่มผู้ประกอบการสังคมที่เข้มแข็งอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ พวกเรายังได้เยี่ยมชม Enabling Village หรือ ศูนย์บริการครบวงจรและพื้นที่ชุมชนสำหรับผู้พิการ ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวก และบริการสำหรับผู้พิการเพื่อช่วยให้พวกเขาได้กลมกลืนกับผู้อื่นในสังคม การมีสถานที่แบบนี้แสดงให้เห็นว่าประเทศสิงคโปร์นั้นจริงจังกับการทำให้มั่นใจว่าผู้พิการนั้นไม่ได้ถูกแยกออกจากชุมชน และพวกเขาได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกับผู้อื่น นวัตกรรมต่างๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อบริการแก่คนพิการถูกจัดแสดงในห้องแสดงผลงาน และพวกเรายังได้รับโอกาสในการลองเก้าอี้ที่สร้างมาสำหรับเด็กที่มีอาการออทิสติกโดยเฉพาะ พวกเรายังได้ซื้องานฝีมือที่ทำโดยผู้พิการจากหนึ่งในห้องปฎิบัติการที่นั้นด้วย เป้าหมายโดยรวมของการมีสถานที่แห่งนี้คือการสร้างสังคมที่มีส่วนร่วมมากขึ้นและการก่อให้เกิดสังคมที่ให้ความสำคัญกับทุกคน
Photo description:
คณะกำลังพูดคุยกับแลร์รี่ ทชู(Larry Tchiou) (คนกลางภาพ) ซีอีโอของกิจการเพื่อสังคมที่ชื่อว่า Unframed ระหว่างการเยือน Media Pixel Lab ที่ศูนย์การออกแบบแห่งชาติสิงคโปร์
ในระหว่างการประชุมและเยี่ยมชมของเรา เราได้รับการแนะนำให้รู้จักกับไอเดียธุรกิจที่เป็นนวัตกรรม ซึ่งผู้สร้างนวัตกรรมสังคมจำนวนมากทั้งจากองค์กรที่แสวงหาผลกำไรและองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรได้นำเสนอมา พวกเรามีโอกาสได้พบกับองค์กรต่างๆ ที่ทำงานเพื่อสังคมและรูปแบบให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ ได้แก่ Community Foundation of Singapore, UOB Venture Management Private Limited และ SymAsia.
นอกจากนี้ พวกเรายังได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีที่ผู้มีรายได้สูงในประเทศสิงคโปร์ได้แบ่งสรรความมั่งคั่งของพวกเขาในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ แก่ประเด็นทางสังคมที่พวกเขาให้ความสำคัญ โดยมุ่งหวังเป้าหมายที่ใหญ่กว่า สิ่งนี้อาจจะสังเกตได้จากผลงานของ SimplyGiving.com ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดมทุนผ่านอินเทอร์เน็ต สำหรับการกุศลหรือประเด็นเฉพาะกิจ และ Cambridge Associates ที่มุ่งเป้าไปที่การดำเนินการลงทุนโดยเน้นการแก้ปัญหา(Mission-Related Investing Practice: MRI) ให้ลูกค้า
จากการที่ได้มีโอกาสฟังและถามคำถามเกี่ยวกับนวัตกรรมทางสังคมในสิงคโปร์ ฉันจึงเข้าใจได้ว่าผู้ประกอบการทางสังคมส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกันซึ่งมุ่งเน้นการตอบความต้องการที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มและรักษาความยั่งยืนทางการเงินของบริษัทเพื่อให้พวกเขาสามารถที่จะดำเนินการต่อไปได้ ดังนั้น สิ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากสิงคโปร์เพื่อควบคุมความไม่แน่นอนของนวัตกรรมทางสังคม และมุ่งสู่รูปแบบการเงินเพื่อสังคมรูปแบบใหม่ๆคืออะไร? บางทีรัฐบาลอาจมีส่วนร่วมในเชิงรุกมากขึ้น ด้วยการช่วยทำให้ผู้สร้างนวัตกรรมทางสังคมต่างๆ เช่น กิจการเพื่อสังคม, ธุรกิจเพื่อสังคม, องค์กรที่มีเป้าหมายทางสังคม, องค์กรพัฒนาเอกชน(NGO) หรือแม้แต่บุคคลที่มีความต้องการในการทำให้การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ได้รับความยืดหยุ่นบางประการที่จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จ มีคำกล่าวว่า ผู้สร้างนวัตกรรมทางสังคมต้องระลึกถึงการการวัดผลกระทบของการแก้ปัญหาสังคมในขณะที่ยังคงสร้างวิธีการแก้ปัญหาแบบนอกกรอบ โดยที่ต้องไม่ถูกจำกัดโดยงบประมาณที่ได้รับ หรือการอนุมัติจากรัฐบาล หรือพึ่งพิงเงินทุนของรัฐบาลมากเกินไป สิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ในมาเลเซีย คือการฝึกอบรมนักพัฒนาทางสังคมเพื่อวัดผลกระทบโดยใช้เครื่องมือวัดผลกระทบทางสังคม(Social Impact Measurement Toolkit: SMIT) ดังนั้นผลกระทบและผลลัพธ์ของโครงการแก้ปัญหาทางสังคมแต่ละโครงการจึงสามารถแปลงเป็นจำนวนเงินเพื่อให้ผู้ให้ทุน/ผู้ให้บริจาคสบายใจว่าเงินของพวกเขาถูกใช้ไปอย่างไร การมีส่วนร่วมที่มากขึ้นจากทุกภาคส่วนจะช่วยให้เกิดความร่วมมือในเชิงบวกซึ่งอาจปูทางให้แก่รูปแบบการจัดหาเงินทุนทางสังคมในอนาคต
________________________________________
อานิสมีประสบการณ์หลายปีในด้านการตลาดและการสื่อสารองค์กรก่อนที่จะทำงานให้กับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติมาเลเซีย (AIM) ในฐานะผู้จัดการฝ่ายนวัตกรรมทางสังคม
เธอเริ่มทำงานที่ AIM ในเดือนในเดือนมิถุนายนปี 2559 โดยมีหน้าที่หลักในการสนับสนุน วางแผน และจัดการโครงการที่มอบหมายให้แผนกนวัตกรรมทางสังคม เพื่อสนับสนุนวาระนวัตกรรมทางสังคมของประเทศให้สอดคล้องกับแผน Eleventh Malaysia Plan เธอเรียนวิชาเอกด้านประชาสัมพันธ์และได้ทำงานในบริษัทสิ่งพิมพ์ในท้องถิ่นไม่กี่แห่ง อาทิ Utusan Melayu Berhad, Star Publications Berhad และ Kosmo! เธอชอบการปีนเขาและได้รับการรับรองให้เป็นนักดำน้ำแบบ open-water ระดับสูง